ตำนานแม่น้ำปิง

ตำนานแม่น้ำปิง


น้ำแม่ปิงเป็นแม่น้ำสายสำคัญต่อดินแดนล้านนา ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านวัฒนธรรมตลอดมา
คนเหนือเรียกน้ำสายนี้ว่า "น้ำแม่ปิง" หรือ "น้ำปิง" หรือ "แม่ปิง" ไม่เคยเลยที่จะเรียกว่า "แม่น้ำปิง" เพราะคนเหนือใช้คำว่า "น้ำแม่" แต่ไม่เคยใช้คำว่า "แม่น้ำ"
เพียงแค่นี้ เราย่อมทราบแล้วว่า การทำความรู้จักแม่น้ำสายหนึ่ง จำเป็นที่จะต้องศึกษาและเข้าใจความเป็นมาในอดีต และสนใจรู้จักเรื่องราวของท้องถิ่น และคนในท้องถิ่นให้ดี


        ชาวล้านนาซึ่งเรียกตนเองว่าคนเมือง ล้วนมีความสัมพันธ์ และความเคารพนับถือน้ำว่า มีฐานะเป็นแม่ เป็นผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงชีวิต
        การตั้งถิ่นฐานของคนเมือง จึงใกล้ชิดกับน้ำแม่สายต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ ดังเห็นได้ว่าชื่ออำเภอ และตำบลต่างๆ ที่เริ่มด้วยคำว่า แม่ จึงสะท้อนให้เห็นชื่อของแม่น้ำสายต่างๆ ที่คนเมืองได้อาศัยพึ่งพิง ไม่ว่าจะเป็น แม่ริม แม่แตง แม่แจ่ม แม่ทา แม่วาง แม่จัน แม่ลาว แม่ใจ แม่วัง แม่อาย แม่สะเรียง แม่จริม แม่สาย ฯลฯ
        เนื่องจากพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของไทย ประกอบด้วยภูเขาเป็นส่วนใหญ่ บริเวณนี้จึงเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญ เมื่อฝนตก น้ำฝนไหลลงจากลาดเขา เป็นลำธารสายเล็กสายน้อย ไปสู่ก้นหุบเขา รวมเป็นลำน้ำสายใหญ่ ไหลออกจากหุบเขา
        สำหรับต้นน้ำแม่ปิง มีต้นน้ำอยู่ที่ดอยถ้วย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน เรียงรายกันแทบจะเต็มพื้นที่อำเภอ น้ำแม่ปิงจะไหลผ่านเขตอำเภอเชียงดาว แม่แตง แม่ริม เมืองเชียงใหม่ สารภี หางดง สันป่าตอง เมืองลำพูน ป่าซาง บ้านโฮ่ง จอมทอง ฮอด เข้าเขตจังหวัดตาก ไหลรวมกับน้ำแม่วังที่บ้านปากวัง อำเภอบ้านตาก และไหลต่อลงไปทางใต้ 



        ขณะเดียวกัน น้ำแม่ปิงเองก็ประกอบด้วย ลำน้ำจำนวนมากมาย ที่ไหลออกจากหุบเขาลงสู่น้ำแม่ปิง ที่สำคัญได้แก่
        น้ำแม่แตง ซึ่งมีต้นน้ำอยู่ทางตะวันตกของดอยถ้วย คือดอยหนองแล้ง เขตอำเภอเชียงดาว และไหลรวมกับน้ำแม่ปิงที่ตำบลสันมหาพน อำเภอแม่แตง
        น้ำแม่กวง ซึ่งมีต้นน้ำอยู่ที่ดอยผีปันน้ำและดอยมด น้ำแม่กวงไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ออกจากหุบเขาสู่ที่ราบเชียงใหม่-ลำพูน และไหลรวมกับน้ำแม่ปิงที่บ้านสบกวง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ลำน้ำสาขาสำคัญของน้ำแม่กวงได้แก่น้ำแม่ทา ต้นน้ำอยู่บริเวณเทือกเขาผีปันน้ำตะวันตก เขตตำบลออนเหนือ และตำบลทาเหนือ อำเภอสันกำแพง ไหลสู่น้ำแม่กวงที่บ้านสบทา อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน
        น้ำแม่ลี้ ต้นน้ำอยู่ในเขตดอยเทิม อำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน บริเวณเขตอำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง และอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นเทือกเขาขุนตาลและดอยผาเมือง แม่น้ำลี้ไหลจากอำเภอทุ่งหัวช้าง อำเภอลี้ อำเภอบ้านโฮ่ง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน และไหลลงแม่น้ำปิงที่บ้านสบลี้ อำเภอป่าซาง เป็นลำน้ำที่ไหลวกกลับ จากทิศใต้ขึ้นทิศเหนือเป็นรูปเกือกม้า หุบเขาลี้ตอนต้นน้ำเป็นหุบเขาแคบ ไม่มีที่ราบก้นหุบเขา มีที่ราบขนาดเล็กบริเวณที่ตั้งตัวอำเภอลี้ และที่ราบกว้างขึ้นบริเวณที่ตั้งอำเภอบ้านโฮ่ง จนถึงแม่น้ำปิง
        น้ำแม่แจ่ม มีต้นน้ำอยู่ที่ดอยกิ่วป่าก้าง ตำบลบ้านจันทร์ ไหลลงมาทางใต้ รับน้ำจากแม่น้ำลำธาร ที่ไหลลงมาจากลาดเขาทางด้านตะวันออก ของเทือกเขาถนนธงชัยกลาง และลาดเขาทางตะวันตก ของเทือกเขาถนนธงชัยตะวันออก ผ่านอำเภอแม่แจ่มถึงสบแม่กะ แล้วไหลไปทางทิศตะวันออก ลงสู่น้ำแม่ปิงที่บริเวณสบแจ่ม อำเภอฮอด 



บันทึกน้ำแม่ปิง :
เอกสารของแมคกิลวารี ฮอลเล็ท และเลอ เมย์ (พ.ศ.๒๔๐๗, ๒๔๑๙ และ ๒๔๕๖) 


น้ำแม่ปิง มองจากพระธาตุดอยน้อย แลเห็นฝายน้ำล้นขนาดใหญ่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวถึงหม่อมเจ้าบวรเดช อุปราชมณฑลพายัพขณะนั้นว่า ต้องมีหน้าที่สร้างทำนบ และระบบชลประทาน ในลำน้ำแม่ปิงด้วย (ภาพ: ม.ล.สุรสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๓)

        ก่อนที่จะมีเส้นทางรถไฟสายเหนือเกิดขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ น้ำแม่ปิงเป็นเส้นทางการคมนาคม และการค้าที่สำคัญที่สุด จากเชียงใหม่ถึงปากน้ำโพ (นครสวรรค์) เพื่อเดินทางต่อไปยังกรุงเทพฯ และอาศัยน้ำแม่ปิงขนสินค้า หรือเดินทางขึ้นเหนือถึงเชียงใหม่ เพื่อเดินทางต่อไปยังเขตรัฐฉาน สิบสองปันนา และหลวงพระบาง หรือแม้แต่การเดินทางจากเชียงใหม่ถึงเมืองระแหง (ตาก) เพื่อต่อไปยังมะละแหม่งในพม่า
        ซึ่งการค้าทางเรือระหว่างล้านนากับกรุงเทพฯนั้น กระทำโดยพ่อค้าชาวจีน สินค้าออกจากเชียงใหม่ที่สำคัญได้แก่ ครั่ง สีเสียด หนังสัตว์ เขาสัตว์ น้ำมันหมู ส่วนสินค้าซึ่งนำมาจากกรุงเทพฯได้แก่ เสื้อผ้า ผ้า ด้าย น้ำมันก๊าด ไม้ขีดไฟ สบู่ เครื่องเหล็ก เกลือ4 ชุมชนพ่อค้าจีนในเชียงใหม่ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๕ บริเวณหน้าวัดเกต ซึ่งยังคงดำเนินชีวิตสืบทอดมาถึงปัจจุบัน
        มีบันทึกของชาวต่างประเทศ ที่ได้กล่าวถึง การเดินทางผ่านมาทางน้ำแม่ปิงหลายราย อาทิ การเดินทางเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๖-๙ ของนายแพทย์แดเนียล แมคกิลวารี 5 หมอสอนศาสนาผู้มีบทบาทสำคัญในล้านนา และการเดินทางของโฮลท์ เอส. ฮอลเล็ท เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖6 อย่างไรก็ตาม การเดินทางจากกรุงเทพฯ มายังเชียงใหม่โดยทางบกของเรยีนัล เลอ เมย์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๖7 ก็นับเป็นสัญญาณอันตราย ของความเปลี่ยนแปลงของน้ำแม่ปิง อย่างไม่มีวันหวนกลับคืนมา
        หมอแมคกิลวารีได้บันทึกถึงการเดินทาง ขึ้นมาสำรวจภาคเหนือเป็นครั้งแรก เพื่อวางโครงการจัดตั้ง คณะเผยแพร่คริสต์ศาสนาในปลายปี พ.ศ.๒๔๐๖ โดยใช้เวลา ๔๙ วันจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ 


ลำน้ำแม่ปิง บริเวณบ้านสบแจ่ม แลเห็นการทำฝายดักจับปลาในลำน้ำ (ภาพ: ม.ล.สุรสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๓)

        ต่อมาต้นปี พ.ศ. ๒๔๐๙ หมอแมคกิลวารีพร้อมคณะ ขนสัมภาระขึ้นมาเชียงใหม่ ด้วยเรือใหญ่สองลำ กินเวลาเดินทางทั้งสิ้นถึงสามเดือนเต็ม โดยเฉพาะการนำเรือผ่านแก่งต่างๆ ในเขตอำเภอฮอด และตากใช้เวลาถึงเดือนเศษ
        ในปี พ.ศ.๒๔๑๖ ฮอลเล็ทได้เข้าเฝ้าเจ้าอุบลวรรณาเจ้านายคนสำคัญ ของเชียงใหม่สมัยเจ้าอินทวิชยานนท์ เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๔๐) ฮอลเล็ทได้ทราบถึงการเดินทางค้าขายทางไกล ด้วยขบวนม้าต่างและลาต่าง แต่ละขบวนมีจำนวนนับพันตัว ระหว่างเชียงใหม่กับยูนนาน เชียงตุง เชียงรุ่ง หลวงพระบาง และพม่าตอนล่าง
        เจ้าอุบลวรรณายังได้เล่าถึง การค้าขายสัตว์เศรษฐกิจเช่น ควาย วัว และช้างในระหว่างหัวเมือง การค้าดังกล่าวนับร้อยนับพันตัวต่อปี และกล่าวถึงน้ำแม่ปิงว่า ในฤดูฝนนั้นมีเรือวิ่งไปมามากมาย "เฉพาะที่วิ่งไปมาระหว่างเชียงใหม่กับตากมีประมาณ ๑๐๐๐ ลำ ส่วนใหญ่เดินทางต่อไปยังกรุงเทพฯ"๘
        ในสายตาของฮอลเล็ทเอง เขาเห็นว่าน้ำแม่ปิง เป็นแม่น้ำที่มีความงดงาม และน่ารื่นรมย์มาก เนื่องจากเป็นแม่น้ำสายใหญ่ น้ำปริ่มฝั่ง และมีต้นไม้ทั้งไม้ดอกไม้ผล ยืนต้นเรียงรายตลอดสองฝั่งลำน้ำ ส่วนเลอ เมย์ ซึ่งเดินทางขึ้นมารับตำแหน่ง รองกงศุลที่เชียงใหม่ในพ.ศ.๒๔๕๖ โดยทางรถไฟ ซึ่งขณะนั้นรถไฟวิ่งจากกรุงเทพฯ ถึงสถานีเด่นชัยแล้ว เลอ เมย์ จึงต้องเดินทางทางบกอีกประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตรจากเด่นชัยถึงเชียงใหม่ รวมใช้เวลาทั้งสิ้นจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ในตอนนั้น ๑๑ วัน 



บันทึกน้ำแม่ปิง :
การเสด็จกลับเชียงใหม่ครั้งแรก ของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี พ.ศ.๒๔๕๑ 


        หลังจากที่พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ได้เสด็จจากบ้านจากเมืองเชียงใหม่ ลงไปถวายตัวอยู่รับราชการ สนองพระเดชพระคุณ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๒๙ ต่อมาอีก ๒๑ ปี พระราชชายา เจ้าดารารัศมีจึงมีโอกาส ได้เสด็จกลับมาเยี่ยมนครเชียงใหม่ครั้งแรก ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ คราวที่เจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ พระเชษฐา ลงไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยมีพระยาอนุชิตชาญไชย (สาย สิงหเสนี) เป็นพระอภิบาลกำกับการทั่วไปตลอด การเดินทาง เริ่มจากการเดินทางโดยรถไฟ มาลงที่ปากน้ำโพ แล้วประทับลงเรือพระที่นั่งเก๋งประพาส มีเรือแม่ปะ เรือสีดอ และเรือชะล่า กว่า ๕๐ ลำ ประกอบเป็นขบวนเสด็จ โดยระยะทางจากปากน้ำโพ ขึ้นมาถึงเชียงใหม่รวมเวลา ๒ เดือน ๙ วัน 

๑ พระธาตุดอยน้อย ตำบลดอยหล่อ อำเภอจอมทอง มีจารึกอักษรฝักขาม กล่าวว่าพระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์ ให้ขุนดาบเรือน มาบูรณะปฏิสังขรณ์ ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จมาเยือนเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๔ (ภาพ: ม.ล.สุรสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๓)

        ตลอดเส้นทาง เมื่อกระบวนเรือของพระราชชายา เจ้าดารารัศมีผ่านเขตอำเภอ จังหวัด มณฑลใด เจ้าหน้าที่นั้นๆ จะต้องคอยปลูกพลับพลาประทับร้อน ประทับแรม และคอยรับส่งเสด็จโดยตลอด
        พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ประทับอยู่ที่เชียงใหม่ได้ ๖ เดือนเศษ จึงเสด็จกลับกรุงเทพฯ โดยทางน้ำแม่ปิงเช่นเดียวกับขามา10
        จนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๔๕๗ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี จึงมีโอกาสกลับมาประทับ ยังเชียงใหม่เป็นการถาวร ในคราวที่เจ้าแก้วนวรัฐ ได้เลื่อนจากตำแหน่งเจ้าอุปราช ขึ้นเป็นผู้ครองนครเชียงใหม่ลำดับที่ ๙ สืบแทนเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ และได้ลงไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่กรุงเทพฯ แต่การเสด็จในครั้งหลังนี้ เป็นการเดินทางโดยทางรถไฟ ขึ้นมาถึงอุตรดิตถ์ และสถานีผาคอ จากนั้นจึงเสด็จโดยขบวนช้างม้า นับร้อยพร้อมคนหาบหามนับพัน ขึ้นมายังเชียงใหม่ 11
        การจัดเตรียมปะรำพักร้อน และพักแรม ของเจ้าดารารัศมี ในการเสด็จกลับเชียงใหม่ครั้งแรกนั้น ออกจะเป็นเรื่องโกลาหลพอสมควร เพราะทางส่วนกลาง ต้องคอยส่งโทรเลขไปตลอดเส้นทางเสด็จ เพื่อกำกับการจัดสร้างปะรำรับเสด็จ ให้สมพระเกียรติ ซึ่งบ้างก็เป็นการกำหนดแม่กอง ผู้รับผิดชอบการสร้างปะรำ บางเรื่องก็เป็นการกำหนดรูปแบบปะรำ หรือสั่งเปลี่ยนแบบปะรำ เพื่อให้สามารถรับข้าราชการผู้ใหญ่หลายคน ที่โดยเสด็จมาด้วย บางเรื่องก็เป็นการสั่งสร้างปะรำเพิ่มเติม เพราะระยะทางเสด็จทางเรือในช่วงนั้น ไกลหรือลำบากด้วยเกาะแก่ง จนต้องเสียเวลานาน14 หรือบางเรื่องก็มีความเข้าใจไม่ตรงกัน ในเรื่องตำบลที่จะให้ปลูกสร้างปะรำ ซึ่งในกรณีหลังนี้ มีตัวอย่างเช่นเมื่อนายอำเภอ และกรมการอำเภอจอมทอง สงสัยในชื่อตำบล "บ้านสันทราย" ที่จะให้สร้างปะรำพักเรือเจ้าดารารัศมี ซึ่งไม่ตรงกับบัญชีระยะทาง ที่ต้องทำปะรำพักแรม ที่ระบุชื่อตำบล "บ้านห้วยทราย"15 


พระธาตุดอยน้อยองค์เดิม เป็นพระเจดีย์ก่ออิฐฉาบปูน และดูขาวสว่างงดงาม ต่อมาทางวัดได้ทำการปฏิสังขรณ์ โดยหุ้มทองจังโกใหม่ทั้งองค์ ขณะเริ่มหุ้มทอง ปรากฏว่าฐานแตกร้าวทั้งองค์ และแม้ว่าขณะนี้ การบูรณะจะเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่กลับปรากฏร่องรอยสนิม และน้ำรั่วซึมออกมา จากองค์พระธาตุหลายจุดในขณะนี้ เพราะเราขาดการสืบทอด เทคนิคช่างโบราณ มาอย่างต่อเนื่อง หากปล่อยทิ้งไว้ องค์พระธาตุอาจล้มลงมาได้ ควรที่กรมศิลปากรจ ะเข้าไปตรวจสอบโดยเร็ว (ภาพ: ม.ล.สุรสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๓)

        อย่างไรก็ตามในโทรเลข ฉบับที่ ๑๖๓ วันที่ ๒๕/๑๑/๑๒๗ จากกรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ถึงพระยาสุรสีหวิสิษฐศักดิ์ ข้าหลวงเทศาภิบาล ประจำมณฑลพายัพ ได้ให้รายชื่อเส้นทาง และตำบลที่กระบวนเสด็จ ของเจ้าดารารัศมีผ่าน อันเป็นทางหนึ่ง ที่ทำให้เราสามารถทราบถึง สภาพของน้ำแม่ปิง ในเวลานั้นได้พอสมควร เพราะจะต้องเป็นตำบล ที่มีชุมชนประชากร ตั้งบ้านเรือนพอสมควร เหมาะสมกับการรับเสด็จ หรือตั้งอยู่ในระยะทาง ที่ต้องหยุดแวะพักเรือพระที่นั่ง ซึ่งหลายตำบลก็คงจะเป็นที่แวะพักกัน ในหมู่ผู้ขึ้นล่องในลำน้ำปิงด้วย
        รายชื่อตำบลทั้ง ๑๑ แห่งพร้อมนามแม่กองสร้างปะรำได้แก่
        ตำบล นามแม่กองทำ, บ้านมืดกา เจ้าราชภาติกวงษ์, บ้านท่าเดื่อ หนานคำ, บ้านนาแก่ง พญาจร, เมืองฮอด นายอินเหลา, บ้านห้วยทราย, ขุนจอมจารุบาล, จอมทอง, บ้านดอยหล่อ ขอทางลำพูนช่วยทำ, บ้านสบขาน พร้อมทั้งผู้คนเสร็จ, บ้านปากบ่อง, บ้านปากเหมือง นายไชยวงษ์, นครเชียงใหม่ ทำพลับพลารับเสด็จที่ท่าน้ำหน้าบ้านเจ้าอุปราช (เจ้าอุปราชจัดทำเอง) 


ที่มา ...http://thanapon741.blogspot.com/

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตำนานแม่น้ำเจ้าพระยา